ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า

เชิ๊ดดำในตำนาน ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า

ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า ในช่วงปี 1995-2005 มีคนๆนึงที่เรามักจะเห้นเค้าในเกมส์ใหญ่ๆเสมอจากโอลิมปิคฟุตบอลโลกนัดชิงไปจนถึงแชมป์เปี่ยนลีคและยูฟ่าคับในรอบชิชนะเลืศซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปีที่เค้าได้รับมอบหมายให้เป้นผู้ควบคุมพฤติกรรมเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือการประทะกันในเกมส์แห่งสักศรีของฟุตบอล
ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่าเค้าเปรียบเสมือนอวาตานของเอสวาด มั้น จิตกรโดดเด่ดในเรื่องของการสืบอารทส์ที่มีหัวล้านดวงตีที่ดำที่มีดวงกลมโตโปนที่แสนจะเย็นชาที่เหมือนจะสามารถมองเห็นลึงลงไปในดวงของนักเตะจนบางครั้งทำให้นักเตะคนนั้นใจฟ่อไปเลยที่เดียวคอลลิน่านั้นเป้นคนแย้งหลักการที่ว่ากรรมการต้องฟังนักเตะเสมอบ่อยครั้งที่กรรมการจากดบรุนหญ้าคนนี้ตวาดนักแตะที่มาแย้งจนต้องเดินกลับไปเสียเองหรือในบางครั้งนักเตะเหล่านั้นไม่ได้กลับไปเพราะว่าแย้งไม่ขึ้นแต่เป็นเพราะว่าเค้ากลัวผู้ตัดสินคนนี้ซึ่งการทำให้นักเตะกลัวเป็นการตัดปัญหาเรื่องการใช้กำลังเป็นอย่างดี ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่านั้นเป้นผู้ตัดสินที่เหลานักเตะไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างแน่นอนอย่างน้อยก็การค้าแข่งในอาชีพระดับสูงปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่ากำเนินโดยที่มีแม่รับอาชีพเป็นครูพ่อของเค้าเป็นลูกจ้างของกระทรวงความมั่นคงเค้าจบโรงเรียนการศึกษาที่สอนโดยแม่ชีและคอลลิน่าจึงถูกเลี้ยงมาโดยกดระเบียบอยู่เสมอและนั้นจึงมำให้คอลลิน่ายึดกดระเบียบและความยุดติธรรมเหนือสิ่งอื่นใดโดยในวัยเด็กของคอลลิน่านั้นไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่น เค้าก็มีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลออาชีพเหมือนกันเค้าเป็นคนที่สูงที่สุดในกลุ่มเพื่อนด้วยลักษณะกายภาพทำให้เค้าเหมาะสมที่จะเล่นในตำเหน่งCBแต่นั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยวัยรุ่นโดยหนุ่มจากอิตตาเลียนนั้นแสดงให้เห็นถึงพรสวรรณ์ตั้งแต่เด็กคอลลิน่านั้นกลายเป้นหนึ่งในเด็กหนุ่มที่หน้าจับตามองของสโมสรจนกลายเป็นที่เรื่องลือกันปากต่อปากถึงความสามารถของเค้าแต่หารู้ไหมว่าระหว่างก่อนที่เค้าจะดังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เคาจะทำให้สำเร็จเพราะในตอนที่เค้าเล่นฟุตบอลได้สักพักนึงเค้าก็ตะหนักได้ว่าการก้าวไปสู่นักฟุตบอลอาชีพมันเป็นไปได้ยากบวกกับการที่เพื่อนเค้าได้แนะนำให้เค้าได้ก้าวไปเป็นกรรมการคอลลิน่าจึงตัดสินใจที่จะไปเรียนเป็นกรรมการในวัย 17 ปีและในช่วงวัยรุ่นคอลลิน่าต้องไปรับใช้ชาติโดยการไปเกนทหารและหลังจากออกมาเค้าก็เลือกที่จะเป็นกรรมการทันทีด้วยพรสวรรณ์ในการมีไหวพริบและนักแห่งความยุติธรรมทำให้เค้าก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการในการแข่งขันในระดับสูงที่สุดโดยในปี1988หลังจากคอลลิน่าได้เสร็จสิ้นในการรับใช้ชาติโดยการรับใช้ชาติโดยการเป็นทหารเค้าก็ได้เอาประสบการณ์มาใช้ในการตัดสินเกมส์อีกด้วยด้วยความสามารถสั่งการโดยการไม่ต้องใช้กำลังและความสามารสั่งการในสถาณการวุ่นวายให้สงบลงได้ทำให้ตอลลิน่าดติบโตในเส้นมางใหม่ได้อย่างรวดเร็วถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป้นผู้ตัดสินในลีคซีรี่ย์1ซีรี่ย์2ของอิตาลี่นี้คือก้าวแรกก่อนที่เค้าจะก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แลจากนั้นคอลลิน่าใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีในการตัดสินฟุตบอลระดับต่ำในลีคระกับต่ำของฟุตบอลอิตาลีก่อนที่จะถูกเลื่อนขึ้นมาให้ตัดสินในลีคซีรี่ย์บีซีรี่ย์อาร์เค้าใช้เวลาเป็นกรรการตัดสินในอิตาลีเป็นเวลาทั้งหมด14 ปีและเค้าก็ไม่รู้ตัวเองว่าตั้งแต่ตอนไหนนั้นที่เค้าป่วยเป้นโรคผมร่วงแบบเชียบพันหลังจากที่ขึ้นมาทำหน้าที่ในลีคสูงสุดผมของเค้าล่วงไม่หยุดจนเค้าต้องเปลี่ยนรูปโชมของตัวเองอย่างสมบูรณ์แต่เจ้าตัวก็ยงทำงานต่อไปอย่างหน้ายกย้องแม้ว่าการทำงานอย่างหนักทำให้ร่างกายอ่อนแอและทำให้เกิดโรคแซกซ้อนอย่างนี้ขึ้นมาแต่สำหรับคนที่มีความมั่นใจอย่างเค้ามั่นกลับเปลี่ยนทำให้เค้ามีชื่อเสียงและทำให้กลายเป็กรรมการสูงสุดในลีคกัลโซผมคือกฎระเบียบที่มีชีวิตคำูดที่ดุเรียบง่าย แต่มันทำได้ยากสำหรับผู้ตดสินทั่วๆไปแต่สำหรับคอลลืน่าเค้าทำอย่างน้นได้ในทุกๆเกมส์การทำให้นักเตะตอบสนองตามคำสั่งเป้นสิ่งที่เค้าทำไม่เคยพลาดถ้ามีนักเตะคนไหนไม่ทำตามกติกานั้นคือสิ่งที่เค้าต้องจัดการอย่างเช่น มีนักเตะเข้ามาแย้งการตัดสินใจของเค้าคอลลิน่าจะตะโกนใส่คนนั้นย้ำถึงกติกาข้อนั้นไปเลื่อยๆจนกว่านักเตะคนนั้นจะยอมรับแล้วเดินกลับไปซึ่งนั้นคือจุดจบเดียวของคำสนทนาซึ่งถ้าหากนักเตคนน้นไม่อยากถูกลงโทษก็ต้องเดินหนีออกไปเท่านั้น คุณต้องเป็นผู้ได้รับจากการยอมรับของทุกคนในสนามไม่ใช่เพราะคุณเป้นกรรมการแต่เป้นเพราะคุณต้องเป็นผู้มีความหน้าเชื่อถือเป้นคำกล่าวความเรียบง่ายของคอลลิน่า แต่มันได้เจาะลึกไปถึงสามันสัมนึกคำพูดที่เปรียมไปด้วยความรู้สึกถึงความหนักเน่นในใจ เว็ับพนันบอลออนไลน์ UFABET1688

ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า

แลมันเป้นคำพูดที่เป็นจริงถ้าหากมองจากมุมมองของแฟนบอลถึงพูเตัดสิน โดยในปี1995คอลลิน่าเค้ากลายเป้นผู้ตัดสินในซีรี่ย์อาร์ด้วยวัยเพียง 43 ปีเท่านั้นและเค้าก็ได้กลายเป้นผู้ตัดสินของ FIFA หลังจากนั้นเค้าก้ได้รับหน้าที่เค้าก็ได้รับหน้าที่ในการตัดสินในทีมชาติเป็นครั้งแรกในโอลิมปิกเกมส์ที่แอสแลนต้าในปี1996โดยเค้าได้ลงตัดสินเกมส์ในทัวนาเม้นนั้นไปถึง15เกมส์และแจกไปถึง2ใบเหลือตั้งแต่22นาทีแรกในการตัดสินในทัวนาเม้นนั้นจากนั้นคลอลลิน่าก็ได้ตัดสินในศึกฟุตบอลโลกในปี1998โดยในทัวนาเม้นที่ฟรั่งเศษคือบทเรียนที่สำคัญให้กับผู้ตัดสินชาวอิตตาลี่รายนี้เรื่องจากมันเป้นทัวนาเม้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและจากนั้นในปี1999เป็นปีที่คอลลืน่าได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของการตัดสินฟุตบอลเมื่อเค้าได้รบเลือกให้เป็นหัวหน้ากรรมการที่ตัดสินไปยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีคในตอบชิงชนะเลิศระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดพบกับบาเยิร์นมิวนิคโดยแมนยูไนเต็ดกำลังอยู่ในการไล่ล่าถ้วยแชมป์ที่3ของฤดูกาล ถ้าคุณดูบอลจากที่บ้านตามปกติผมดูได้อย่างมั่นใจเลยว่าเกมส์นี้มีผู้เล่นในสนามเพียง 22คนและปราดสะจากคำตัดสินที่ผิดพลาดเกมส์นั้นเป็นเกมส์ที่คอลลิน่าสร้าวความมั่นใจให้กับแฟนในแบบที่แฟนบอลไม่เคยเจอมาก่อนอย่าที่เค้าเคยเขียนประโยคนึงที่เค้าได้เขียนในนหนังสือว่า งาการรมการเป้นงานบริการอย่างนึงนั้นคือสิ่งที่คอลลิน่าแสดงถึงการเป็นกรรมการระดับโลกให้กับแฟนบอลทั่วโลกได้เหนโดยแชมป์เปี่ยนลีคในรอบชิงชนะเลิศในเกมส์นั้นมันกลายเป็นเกมส์ลาสสิคที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์จากการมีสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ทดเวลาบาดเจ็บภายใน90นาทีนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็โเป็นฝ่ายผ้ายแพ้ในนัดนั้นคนเมืองมิวนิคกำลังตัดลินบิ้นฉลองแชมป์แตสุดท้าย เทดดี้เชอร์ลิ่งแหมและโอเล่กุนหน้าโซชาทั้งคู่ทำประตูภายใน 3 นาทีสุดท้ายก่อนจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครองและถ้าถามว่าเกมส์ไหนเป็นเกมส์ที่คอลลิน่าชอบที่สุด นับตั้งแต่คอลลิน่าได้ทำหน้าที่ได้เป็นผู้ตัดสินและทุกครั้งที่ถูกถามคอลลิน่าจะพูดถึงเกมส์นั้นพร้อมกับเล่าเรื่องราวว่าหน้าเหลือเชื่อมากที่ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายฉลองแชมป์โดยเสีนงของชาวแมนยูกลู่เสียงฉลองแชมป์มันเป้นเสียงเหมือนกับคำลามของสิงห์โตเลยซึ่งนั้นเป็นเวลาที่รู้สึกยอดเยี่ยมที่สุดของผม แม้ว่าคอลลิน่าจะสั่งให้นักเตะของบาร์เยินไปเก็บบอลแลวเริ่มเตะใหม่เพราะเวลายังเหลืออยู่และเกมส์ต้องเริ่มใหม่หลังจากเกิดประตูนักเตะของบาร์เยินยังอยู่ในสถาณการช๊อคและประติเสทกับสิ่งที่เกิดขึ้นสโมเอลคูคุบลงไปต่อยพื้นในความปวดร้าวและกล้องจับภาพไปที่โอลิเวอร์คาเค้าร้องไห้อยู่ที่หน้าประตุเค้ายืนมองในความที่เค้าไม่อยากเชื่อในสายตาของตัวเองท่ามกลางนักเตะเหล่านั้นคอลลิน่าพยายามเรียกนักเตะของทีมบาร์เยินให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งนึง การกระต้นคนที่ยอมแพ้ไปแล้วเป็นเรื่องทีศุณเปล่าเพราะฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอนไม่มีตักกะหรือคำวนใดที่ใช้ในสงครามชนิดนี้ได้มันจึงเป็นสิ่งที่คอลลิน่าทำเหมือนกับค่ายทหารที่พยายามถามทหารที่ยังมีชีวิตรอดว่าเป็นยังไงบ้างมากกว่าการเรียกให้นักฟุตบอลเก็บบอลเพื่อไปเล่นต่อและหลังจากจบเกมส์ในรอบชิงนัดนั้นคอลลิน่าก็ถูกล่าวขานให้เป้นกรรมการที่ดีที่สุดในโลกทันทีและเมื่อคอลลิน่าอายุมาถึง45ปีสหะพรรณฟุตบอลอิตาลี่ก็ได้เพิ่มลิมิดอายุของกรรมการที่สามารถทำหน้าที่ในซีรี่ย์อาร์เป้นครั้งแรกเพื่อให้เค้ามีโอกาศได้ตัดสินฟุตบอลในศึกฟุตบอลโลกในปี2006นั้นทำให้คอลลิน่าผิดกฎการตัดสินของซีรี่อาร์ที่หน้าไม่ให้มีสิ่งใดโยงถึงผลประโยชน์ในทีมใดทีมนึงแต่ด้วยความสำเร็จมากมายของคอลลิน่าทำให้เคาตัดสินใจที่จะลาออกก่อนกรรหนดอย่างไม่มีใครคาดฝันและปิดฉากอาชีพผู้ตัดสินเกมส์ที่เค้าทำมาตลอด28 ปีและหลังจากที่เค้าวางมือคอลลิน่าก็กลายเปนบุคคลที่ไม่สามารถประเมินค่าได้แห่งวงการกรรมการฟุตบอลอิตาลี่แลวงการกรรมการฟุตบอลยุโรปชายหนุ่มที่หน้าตาเกือบเหมือินกับเอเรี่ยนเค้ามีออร่าที่เหมือนกับมาจากนอกโลกเค้าคือผู้ตัดสินที่มีมาบนโลกทั้งก่อนหนานี้จนถึงปัจจุบันต้องยกให้เป็นผู้ตัดสินที่มีมารยาทดีคนนี้เป็นตัวอย่างและนักเตะอาชีพทุกๆคนยกให้เค้าเปนผู้ที่มีความหน้านับถือและเค้ายังเป็นผู้ตัดสินคนเดียวบนดลกใบนี้ที่เหลานักเตะชื่อดังยังพูดถึงโดยฉเพราะเดหวินแบคแฮ่มยังถึงกับต้องขอแลกเสื้อด้วยโดยในปี2011คอลลิน่าได้ถูกบนจุของคอลออฟเกมส์ของฟุตบอลอิตาลี่รางวัลแห่งเกียตรยศนี้เหนือกว่ารางวัลอื่นๆทั่วไปที่ว่าเค้าถูกเอาเข้าสู่หอเกียตรยศก่อนต่ำนอนฟูแบลคแห่งอิซีมิลานเปาโลมาดินี่ และดิโนซอฟผู้รักษาประตูชุดที่ได้แชมป์ในปี1982 และสิ่งที่คอลลิน่าได้รับอย่างสมเกียตรมากที่สุดนั้นก็คือคำกล่าวยกย้องของผู้ตัดสินรุ่นน้องอย่าง เกแห่มโคล ได้กล่าวย้อนถึงคอลลิน่าในช่วงที่อยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อม ในศุกฟุตบอลโลกในปี2002ในเกมส์ที่ยีปุญพบกับตุรากีโดยเกแฮมโคลน้นได้เป็นกรรมการคนที่4โดยโคลพุดถึงคอลลิน่าว่าเค้าวาดพังนักเตะขึ้นมาบนกระดานเค้าอธิบายให้พวกเราฟังว่านักเตะพวกนี้จะเล่นกันยังไงและนักเตะคนไหนจะมีบุคลิคยังไงจุดไหนบ้างหน้าจะประทะเค้าช้วยให้พวกเราคาดการในสิ่งที่จะเกิดขึนในสนามเค้ารอบคอบไปในทุกๆเรื่องมันยอดเยี่ยมมากและนั้นคือการเตรียมพร้อมในระดับที่ดีที่สุดยิ่งไปกว่านั้นเค้าไม่เคยพลาดเลยและเค้าคือบุคคลที่หาได้ยากมากในวงการผู้ตัดสอนฟุตบอลของโลก สนับสนุนโดยfootballwatchliveonline

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *